วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555


จากการศึกษาแผนแม่บท ICT ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ข้าพเจ้าคิดว่าสำคัญที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ที่ 1: การพัฒนากําลังคนด้าน ICT และบุคคลทั่วไปให้ มี ความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้ สารสนเทศอย่างมี วิจารณญาณและรู้เท่าทัน
                ในโลกยุคปัจจุบัน ระบบ ICT เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก  ในยุคสื่อสารไร้พรมแดนนี้  เราสามารถพบเจอกับเทคโนโลยีตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต  เช่น  มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการตรวจเพศทารกก่อนคลอด  การสื่อสารกันระหว่างประเทศ  ระบบทะเบียนราษฎร์ออนไลน์ เป็นต้น  ปัจจุบันข้าพเจ้าคิดว่ามีผู้คนมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์          ของประเทศมีการใช้เทคโนโลยีหรืออาจกล่าวได้ว่าประชากรชาวไทยทุกคนเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี  ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  ยกตัวอย่างเช่น  ประชาชนที่มีสัญชาติไทยทุกคนจะต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน  การทำบัตรประชาชนก็นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรสมาร์ทการ์ด  ระบบบัตรคิวที่นำเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาบริหารจัดการ หรือ ถ้าหากว่าไม่ได้ทำงานอยู่ในภูมิลำเนาตัวเองก็สามารถทำบัตรประชาชนออนไลน์ได้   ประชาชนบางคนไม่ทราบระบบการจัดการดังกล่าวก็กลับโดนเจ้าหน้าที่ต่อว่าให้อาย  ทำให้ไม่อยากใช้บริการในแบบดังกล่าว       แต่จะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ทราบว่าขณะนั้นตัวของผู้ใช้บริการเองกำลังใช้ระบบ ICT อยู่  หรือที่กำลังเป็นที่นิยมกันในปัจจุบันนี้ คือ เทคโนโลยี Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twistter, Youtube  แม้กระทั่งนักเรียนระดับชั้นประถมยังมีเฟสบุ๊คเป็นของตนเอง และจากการที่ข้าพเจ้าปฏิบัติการสอนในระดับมัธยมศึกษา (ม.1-6)  จากการสังเกตและสอบถาม          ครูผู้สอนท่านอื่นๆ ก็พบว่าเมื่อนักเรียนเข้าห้องเรียนแล้วเปิดเครื่องเว็บไซต์แรกที่นักเรียนเข้าไปคือ www.facebook.com  และลำดับถัดมาคือ www.youtube.com   จากการสังเกตและสอบถามว่าที่นักเรียนเข้าไปเฟสบุ๊ค นักเรียนเข้าไปทำอะไร  นักเรียนส่วนใหญ่ตอบว่า เข้าไปดูรูปเพื่อน ดูรูปแฟนเพื่อน หาแฟนแล้วก็โพสต์ข้อความเพื่อให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็น  เมื่อมีคนมาแสดงความคิดเห็นเยอะๆ  นั่นคือสิ่งที่ตัวเขาเองพึงพอใจแล้ว   มีส่วนน้อยไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะเข้าไปคุยเรื่องงานเรื่องการบ้าน  ส่วนเว็บไซต์ยูทูป  นักเรียนส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าไปดูมิวสิควิดีโอ      เพลงใหม่ๆ หรือตัวอย่างภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉาย แล้วนำไปโพสต์ในเฟสบุ๊ค   มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกันที่ตอบว่าเข้าไปดูการเทปติวหรือวิดีโอสอนการสร้างชิ้นงานจากโปรแกรมต่างๆ      และเมื่อถามเจาะลึกเข้าไปอีกว่ารู้หรือไม่ว่า Social Media เหล่านี้มีไว้สำหรับทำอะไร เข้าก็จะตอบว่ามีไว้สำหรับสื่อสาร แลกเปลี่ยนกัน และจะไม่มีคำอธิบายหรือคำตอบอื่นใดนอกเหนือจากนี้เลย   นี่คือคำตอบของเด็กที่เรียนระดับมัธยมศึกษา  ซึ่งน่าจะมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีมากกว่านี้   แต่ตัวครูผู้สอนเองก็ได้แต่กำชับในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีอย่างระมัดระวังและมีวิจารณญาณ  หรือแม้กระทั่งตัวครูผู้สอนเอง  ยังคงคุ้นเคยกับระบบการสอนแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทำให้เด็ก     ไม่ได้รับสิ่งแปลกใหม่  หรือบางท่านต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการสอนใหม่โดยการนำเอาระบบ ICT มาใช้ เนื่องจากไม่มีเวลา  ผลจากภาระงานพิเศษเยอะ ไม่มีเวลาไปอบรมและก็จะได้รับคำถามว่ามีวิธีการใดที่ทำง่ายๆ แบบคนที่ไม่เคยใช้มาก่อน  ซึ่งถ้าเป็นบุคคลประเภทนี้  ท่านจะถนัดการเรียนรู้แบบตัวต่อตัวมากกว่าแบบเป็นกลุ่ม  แต่บุคลากรทางด้านไอทีมีไม่มาก  จึงจำเป็นต้องอบรมเป็นกลุ่มใหญ่  ทำให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควรข้าพเจ้าจึงคิดว่าควรมองตั้งแต่นโยบายระดับประเทศในเรื่องของการพัฒนากำลังคน  จากที่ได้กล่าวมีข้างต้น  ปัจจุบันทุกคน  ทุกระดับ  ทุกเพศ  ทุกวัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไม่มากก็น้อย  แต่ยังขาดความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก    ฉะนั้นข้าพเจ้าคิดว่าการพัฒนากำลังคนทางด้าน ICT และบุคคลทั่วไปให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้ สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและ    รู้เท่าทัน จึงจำเป็นอย่างยิ่ง    เพื่อรองรับกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและ เพื่อสร้างความตระหนัก  ความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมและคุ้มค่า   พร้อมกันนี้ก็จะต้องมีการพัฒนากำลังคนให้สามารถผลิต สร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ เพื่อพัฒนาประเทศให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้   

                                ชุลีรัชต์  ประกิ่ง
511600138




2 ความคิดเห็น:

  1. แวะมาอ่านครับ คุณชุลีรัชต์ ^ ^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณค่ะ.. มีอะไรก็แนะนำด้วยนะคะ...^_^

      ลบ