จากสังคมชนบทก้าวเข้าสู่สังคมเมือง
... เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และด้านอื่นๆ เข้ามามีบทบาทกับสังคมชนบทเช่นจังหวัดอุบลราชธานี
ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากเดิม ต่างหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในชุมชนเมือง สังคมชุมชนเมืองเต็มไปด้วยความเร่งรีบจึงไม่มีเวลาที่จะดูแลตัวเอง หากดูตามสถิติของสำนักงานสาธารสุขจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว
พบว่า สาเหตุของการเจ็บป่วยของประชากรจะเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินทั้งนั้น เช่น สาเหตุการป่วยของผู้ป่วยนอก อันดับ 1 คือ โรคระบบย่อยอาหาร โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา
อันดับ 1 คือ อุจจาระร่วงเฉียบพลัน
เป็นต้น ดังนั้น สิ่งแรกที่จะต้องทำให้คนอุบลมีสุขภาพดี คือ
สร้างความเข้าใจและความตระหนักเกี่ยวเรื่องสุขภาพ
อาจจะทำเป็นแอนิเมชัน หรือหนังสั้นนำเสนอผลเสียของการไม่ดูแลสุขภาพ แล้วเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น วิทยุ
เป็นต้น ขั้นตอนต่อไป คือ
การสร้างจุดออกกำลังกายตามสถานที่ที่ผู้คนนิยม
ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า
ภายในที่ทำงาน สถานศึกษาต่างๆ เนื่องจากข้ออ้างของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ออกกำลังกายเพราะไม่มีเวลาเดินทาง จึงควรยกสถานที่ออกกำลังกายมาอยู่ใกล้ๆ เครื่องออกกำลังกายแต่ละเครื่องอาจจะมีการติดตั้งโปรแกรมต่างๆหรือเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตไว้ตอบสนองกับผู้ใช้แต่ละคน
แต่ทั้งนี้ระบบแบตเตอร์รี่จะเก็บประจุจากเครื่องออกกำลังกายที่ผู้ใช้กำลังใช้อยู่นั่นเอง และเครื่องออกกำลังกายแต่ละเครื่อง ผู้ใช้จะเข้าใช้ผ่านทางระบบ Finger Print โดยเชื่อมกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการลืมบัตรต่างๆ แล้ว ยังสามารถนับมาประมวลผลนับสถิติการออกกำลังกายของแต่ละคนได้อีกด้วย จากนั้นนำสถิติดังกล่าวมาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพที่สร้างขึ้น เพื่อนำผลการวิเคราะห์มาประมวลผลและสรุปผลสุขภาพเป็นรายบุคคลต่อไป
จากนั้นผู้ใดที่มีสถิติการออกกำลังกายสูงที่สุดแล้วเมื่อโปรแกรมวิเคราะห์ออกมาแล้วว่ามีสุขภาพดีด้วย ก็จะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณจากทางผู้ว่าราชการจังหวัด
จากที่กล่าวมาข้าพเจ้าคิดว่า
คนอุบลจะต้องมีความสุขในการออกกำลังกายอย่างกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาโดยใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในการออกกำลังกายให้เป็นนิสัยแล้ว...
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555
UBON IT Travel
“เที่ยวก่อนใครในสยาม”
จังหวัดอุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมชาติ แบบธรรมะ
หรือแบบธรรมดา และจากวิสัยทัศน์ที่ว่า
อุบล “มหานครการท่องเที่ยวของอาเซียน” จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำระบบ ICT มาบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้มีระบบและมีประสิทธิภาพ เริ่มจากแต่งตั้งทีมงานสำรวจและรวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในแบบต่างๆ
ที่พักอาศัย การเดินทาง
ของฝาก อาหารการกิน แล้วนำมาทำฐานข้อมูลแยกกลุ่มหมวดหมู่ให้ชัดเจน และมีการแยกทริปการท่องเที่ยวในแบบต่างๆ
ตามที่ผู้ใช้บริการต้องการ เช่น
เลือกการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ ระยะเวลา 3
วัน 2 คืน ระบบจะแสดงรายการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพของสถานที่ท่องเที่ยว ระยะทาง
ข้อควรปฏิบัติ แนะนำร้านอาหาร เป็นต้น หากผู้ใช้บริการสนใจก็สามารถจองได้เลย เป็นต้น
จากนั้นทำการเขียนโปรแกรมผ่านระบบออนไลน์และสามารถทำงานบนมือถือทุกระบบปฏิบัติการอีกด้วย ในการนี้ผู้ใช้บริการที่จะเข้ามาจองจะต้องสมัครเป็นสมาชิกของ
UBON IT Travel จึงจะสามารถใช้งาน Application ดังกล่าวได้ เราจะสามารถเก็บสถิติผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานีได้อีกด้วย
วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555
SET เกี่ยวข้องอย่างไรกับ Web Service
SET (Secure Electronic Transaction) เป็นระบบสำหรับทำให้มั่นใจ ถึงความปลอดภัยของ ทรานแซคชันทางการเงินบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งได้รับการสนับสนุนเริ่มต้นโดย MasterCard, Visa, Microsoft, Netscape และ อื่น ๆ ด้วย SET ผู้ใช้จะได้รับ electronic wallet และทรานแซคชันที่นำ และตรวจสอบโดยการใช้ส่วนประกอบของ digital certificate และ digital signature ในระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และ ธนาคารของผู้ซื้อ ในวิธีที่ทำให้มั่นใจว่า มีความเป็นส่วนบุคคลและมั่นใจได้ ส่วน Web Service คือ การให้บริการการทำธุรกรรมต่างๆ โดยมีการเรียกใช้ Application อื่นร่วมด้วย สำหรับการดำเนินชีวิตของคนในปัจจุบันเน้นความสะดวกสบายมากขึ้น ระบบ SET จึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Web Service ยกตัวอย่างเช่น ระบบการซื้อขายสินค้าออนไลน์ เมื่อเลือกสินค้า แล้วยืนยันการสั่งซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว เราสามารถสั่งให้หักเงินจากบัตรเครดิตได้โดยตรง แล้วทางผู้ขายก็จะทำการจัดส่งสินค้ามายังที่อยู่ที่เราให้ไว้ เราไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เสียเวลาในการเดินทางไปซื้อของเหล่านั้น ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็เช่น eBay ที่ใช้ระบบ Pay pal
การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาจังหวัดอำนาจเจริญ
จังหวัดอำนาจเจริญ ได้รับการยกฐานะจากอำเภออำนาจเจริญ เป็นจังหวัดอำนาจเจริญวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2536 ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย มีพื้นที่การปกครองทั้งสิ้น 3,161,25 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,975,780 ไร่ ทิศเหนือ ติดกับอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร และอำเภอดอนตาล
จังหวัดมุกดาหารทิศตะวันออก ติดกับ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามแนวฝั่งแม่น้ำโขง
ด้านอำเภอชานุมาน เป็นระยะทาง 38 กิโลเมตรและติดจังหวัดอุบลราชธานี ทิศใต้ ติดกับ อำเภอม่วงสามสิบ
จังหวัดอุบลราชธานี ทิศตะวันตก ติดกับ อำเภอป่าติ้ว
และอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จังหวัดอำนาจเจริญเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดที่มีความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจแถบลุ่มแม่น้ำโขงอย่างจังหวัดมุกดาหารหรือจังหวัดที่ชื่อได้ว่าเป็นเมืองแห่งนักปราชญ์เมืองการศึกษาเก่าอย่างจังหวัดอุบลราชธานี
นับได้ว่าเป็นความโชคดีของจังหวัดอำนาจเจริญที่จะต้องพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ
สังคมและการลงทุนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้จังหวัดพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและทัดเทียมกับจังหวัดอื่น คือ การพัฒนาความรู้ทักษะด้านต่างๆ ให้กับประชากรในจังหวัด เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น
เดิมทีจังหวัดอำนาจเจริญไม่มีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทำให้ประชากรหลั่งไหลเข้าสู่เมืองใหญ่ จนเมื่อจบการศึกษาก็ทำงานตามเมืองใหญ่ ไม่ได้กลับมาพัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิด เพราะไม่มีปัจจัยดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม บริบทต่างๆ
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ “เงิน” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน
“เงิน” เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต
ผู้คนส่วนใหญ่จึงแสวงหาปัจจัยนั้น ต่อมามีผลมาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2539 ซึ่งอนุมัติโครงการขยายวิทยาเขตสารสนเทศของมหาวิทยาลัยต่างๆ
ไปในส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นการขยายโอกาสอุดมศึกษา
โดยให้ทบวงมหาวิทยาลัยคัดเลือกจังหวัดที่เห็นสมควรจัดทำเป็นวิทยาเขตสารสนเทศ
และจังหวัดอำนาจเจริญเป็นจังหวัดหนึ่ง ที่ได้รับการคัดเลือกพร้อมๆ กับอีก 29
จังหวัดทั่วประเทศ ต่อมาผู้ใหญ่ของทางจังหวัดได้ทำการการขับเคลื่อนให้มีการเปิดการเรียนการสอน โดยการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างจังหวัดอำนาจเจริญ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดอำนาจเจริญ และมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552 การทำสัญญาร่วมกันของทั้งสามฝ่าย
เปรียบเสมือนสัญญาที่ให้ไว้ว่า
ทุกฝ่ายต้องให้การช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินงานในด้านที่ตนมีศักยภาพ
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตอำนาจเจริญ
ให้เป็นสถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์
ต่อประชาชนทั่วไปรวมทั้งจังหวัดอำนาจเจริญ ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตลอดจนสามารถขยายไปถึงกลุ่มประเทศอินโดจีน จากการขับเคลื่อนดังกล่าวทำให้จังหวัดอำนาจเจริญพัฒนาขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง อย่างไรก็ตามทางจังหวัดจะต้องมีนโยบายกระตุ้นให้มี ความสำนึกรักบ้านเกิด โดยการส่งเสริมการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของจังหวัด
เช่น จังหวัดอำนาจเจริญ มีโครงสร้างเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรม
ควรจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมแบบครบวงจร ให้นักเรียน
นักศึกษา
ผู้ที่สนใจได้เข้าศึกษาและลงมือปฏิบัติจริง เมื่อได้ลงมือปฏิบัติจริงแล้วจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความรู้อย่างแท้จริง อาจจะจัดตั้งศูนย์ใหญ่ประจำจังหวัด และศูนย์ย่อยๆ ประจำอำเภอหรือตำบล เป็นต้น นอกจากนี้ควรมีการสำรวจความสนใจทักษะด้านต่างๆ
ของประชากรในจังหวัด แล้วจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เฉพาะทักษะนั้นๆ ขึ้น ให้ผู้เข้าศึกษาได้เข้าศึกษาตามความถนัดและ ความสนใจ
หรืออย่างที่ทราบกันดีในปัจจุบันเป็นยุคของการสื่อสารไร้พรมแดน อาจจะมีการสร้างเว็บไซต์ รวบรวบข้อมูลต่างๆ
ของผู้ที่ประสบความสำเร็จในทักษะหรือศาสตร์นั้นๆ หรือที่เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน
ถ้าหากจะปลูกฝังตั้งแต่ระดับเยาวชนควรจะมีการสร้างสื่อการนำเสนอในเชิงของ การ์ตูนแอนิเมชัน ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและตั้งใจที่จะเข้าไปศึกษามากขึ้น หรืออาจจะมีการถ่ายทำ สารคดีสั้นแล้วอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ Youtube ซึ่งจะตอบสนองการเรียนรู้เฉพาะบุคคล สามารถเข้าไปศึกษาเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ในการนี้ทางจังหวัดจะต้องมีการปรับโครงสร้างของระบบ
ICT ร่วมด้วย ตั้งแต่ การกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั่วถึง
เช่น
ในหนึ่งหมู่บ้านอาจจะมีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี 1 จุด โดยให้โควต้าคนละ 2 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการวางระบบอาจจะสูง แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินที่จะไหลออกจากจังหวัด ข้าพเจ้าคิดว่ายังคงน้อยกว่ามาก
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555
จากการศึกษาแผนแม่บท ICT ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ข้าพเจ้าคิดว่าสำคัญที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ที่ 1:
การพัฒนากําลังคนด้าน ICT และบุคคลทั่วไปให้
มี ความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้ สารสนเทศอย่างมี วิจารณญาณและรู้เท่าทัน
ในโลกยุคปัจจุบัน
ระบบ ICT เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ในยุคสื่อสารไร้พรมแดนนี้
เราสามารถพบเจอกับเทคโนโลยีตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต เช่น
มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการตรวจเพศทารกก่อนคลอด การสื่อสารกันระหว่างประเทศ ระบบทะเบียนราษฎร์ออนไลน์ เป็นต้น ปัจจุบันข้าพเจ้าคิดว่ามีผู้คนมากกว่า 80
เปอร์เซ็นต์ ของประเทศมีการใช้เทคโนโลยีหรืออาจกล่าวได้ว่าประชากรชาวไทยทุกคนเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี
ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น
ประชาชนที่มีสัญชาติไทยทุกคนจะต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน
การทำบัตรประชาชนก็นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรสมาร์ทการ์ด
ระบบบัตรคิวที่นำเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาบริหารจัดการ หรือ
ถ้าหากว่าไม่ได้ทำงานอยู่ในภูมิลำเนาตัวเองก็สามารถทำบัตรประชาชนออนไลน์ได้ ประชาชนบางคนไม่ทราบระบบการจัดการดังกล่าวก็กลับโดนเจ้าหน้าที่ต่อว่าให้อาย ทำให้ไม่อยากใช้บริการในแบบดังกล่าว แต่จะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ทราบว่าขณะนั้นตัวของผู้ใช้บริการเองกำลังใช้ระบบ
ICT อยู่
หรือที่กำลังเป็นที่นิยมกันในปัจจุบันนี้ คือ เทคโนโลยี Social
Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twistter, Youtube แม้กระทั่งนักเรียนระดับชั้นประถมยังมีเฟสบุ๊คเป็นของตนเอง
และจากการที่ข้าพเจ้าปฏิบัติการสอนในระดับมัธยมศึกษา (ม.1-6) จากการสังเกตและสอบถาม ครูผู้สอนท่านอื่นๆ
ก็พบว่าเมื่อนักเรียนเข้าห้องเรียนแล้วเปิดเครื่องเว็บไซต์แรกที่นักเรียนเข้าไปคือ
www.facebook.com และลำดับถัดมาคือ
www.youtube.com จากการสังเกตและสอบถามว่าที่นักเรียนเข้าไปเฟสบุ๊ค
นักเรียนเข้าไปทำอะไร
นักเรียนส่วนใหญ่ตอบว่า เข้าไปดูรูปเพื่อน ดูรูปแฟนเพื่อน หาแฟนแล้วก็โพสต์ข้อความเพื่อให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็น เมื่อมีคนมาแสดงความคิดเห็นเยอะๆ นั่นคือสิ่งที่ตัวเขาเองพึงพอใจแล้ว มีส่วนน้อยไม่ถึง 10
เปอร์เซ็นต์ที่จะเข้าไปคุยเรื่องงานเรื่องการบ้าน
ส่วนเว็บไซต์ยูทูป
นักเรียนส่วนใหญ่ก็จะตอบว่าไปดูมิวสิควิดีโอ เพลงใหม่ๆ
หรือตัวอย่างภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉาย แล้วนำไปโพสต์ในเฟสบุ๊ค มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกันที่ตอบว่าเข้าไปดูการเทปติวหรือวิดีโอสอนการสร้างชิ้นงานจากโปรแกรมต่างๆ และเมื่อถามเจาะลึกเข้าไปอีกว่ารู้หรือไม่ว่า
Social Media เหล่านี้มีไว้สำหรับทำอะไร เข้าก็จะตอบว่ามีไว้สำหรับสื่อสาร
แลกเปลี่ยนกัน และจะไม่มีคำอธิบายหรือคำตอบอื่นใดนอกเหนือจากนี้เลย นี่คือคำตอบของเด็กที่เรียนระดับมัธยมศึกษา
ซึ่งน่าจะมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีมากกว่านี้ แต่ตัวครูผู้สอนเองก็ได้แต่กำชับในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีอย่างระมัดระวังและมีวิจารณญาณ หรือแม้กระทั่งตัวครูผู้สอนเอง ยังคงคุ้นเคยกับระบบการสอนแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
ทำให้เด็ก ไม่ได้รับสิ่งแปลกใหม่
หรือบางท่านต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการสอนใหม่โดยการนำเอาระบบ ICT มาใช้ เนื่องจากไม่มีเวลา ผลจากภาระงานพิเศษเยอะ
ไม่มีเวลาไปอบรมและก็จะได้รับคำถามว่ามีวิธีการใดที่ทำง่ายๆ
แบบคนที่ไม่เคยใช้มาก่อน
ซึ่งถ้าเป็นบุคคลประเภทนี้
ท่านจะถนัดการเรียนรู้แบบตัวต่อตัวมากกว่าแบบเป็นกลุ่ม แต่บุคลากรทางด้านไอทีมีไม่มาก จึงจำเป็นต้องอบรมเป็นกลุ่มใหญ่
ทำให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควรข้าพเจ้าจึงคิดว่าควรมองตั้งแต่นโยบายระดับประเทศในเรื่องของการพัฒนากำลังคน จากที่ได้กล่าวมีข้างต้น ปัจจุบันทุกคน
ทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไม่มากก็น้อย
แต่ยังขาดความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ฉะนั้นข้าพเจ้าคิดว่าการพัฒนากำลังคนทางด้าน ICT
และบุคคลทั่วไปให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้
สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและ รู้เท่าทัน จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรองรับกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและ
เพื่อสร้างความตระหนัก ความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมและคุ้มค่า
พร้อมกันนี้ก็จะต้องมีการพัฒนากำลังคนให้สามารถผลิต สร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ
เพื่อพัฒนาประเทศให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้
ชุลีรัชต์ ประกิ่ง
511600138
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)